พระสีวลีปางฉันภัตตาหาร(จกบาตร) วัดถ้ำรัตนคีรี จ.อุทัยธานี


เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางว่าใครมีพระธาตุสีวลีครอบครองและปฏิบัติูบูชา  จะบังเกิดลาภและมีทรัพย์มาก การแสวงหาพระธาตุพระสีวลีย่อมยากยิ่ง   ใครมีในครอบครองย่อมหวงแหนยิ่งนัก  ทำให้ความต้องการได้พระธาตุพระสีวลีจึงดูเหมือนแทบจะเป็นไปไม่ไ้ด้เลย  วัดถ้ำรัตนคีรี  ตำบลเขากวางทอง อำเภอหนองฉาง จังหวัดอุทัยธานี  ภายในบริเวณวัดนี้ปรากฎว่ามีพระธาตุและผงพระธาตุพระสีวลีเป็นที่อัศจรรย์แก่ผู้รู้ เมื่อนำมาปฏิบัติบูชาย่อมได้มาซึ่งลาภผลทางวัดโดยท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำรัตนคีรีได้จัดสร้างพระสีวลีปางฉันภัตตาหาร(จกบาตร) แสดงเจตนาให้ทราบว่าจะมีกินไม่รู้จักสิ้น เนื่องจากผสมผงพระธาตุพระสีวลีล้วนๆ ส่วนที่ด้านหน้าบรรจุพระธาตุพระสีวลีขนาดเล็กทุกองค์  การจัดพิมพ์พระสีวลีปางฉันภัตตาหาร(จกบาตร)นี้ทางวัดโดยท่านเจ้าอาวาสวัดถ้ำรัตนคีรีดำเนินการผสมผงและกดพิมพ์พระด้วยมือท่านเองทุกองค์ จึงมั่นใจได้ว่า จะได้ผงพระธาตุพระสีวลีล้วนๆแท้ๆออกมาเพื่อให้ประชาชนได้ร่วมทำบุญบูชาไปติดตัวเพื่อต้านภัยเศรษฐกิจ  ได้รับความเมตตาจากหลวงพ่อดำ วัดสันติธรรม ตำบลบ้านด่าน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว และหลวงพ่อเีขียวอินทโชโต วัดระเว บ้านตะกุดขอน ตำบลท่าช้าง อำเภอจักราช จังหวัดนครราชสีมา ปลุกเสกเดี่ยวเพื่อเป็นสิริมงคล อัญเชิญทิพยสภาวะแห่งองค์พระสีวลีมาสถิตให้บังเกิดลาภผลสมบูรณ์สมเจตนา ผู้บูชาด้วยความศรัทธาย่อมได้ผลมา มีผู้รายงานผลจำนวนมากว่า บูชาพระสีวลีปางฉันภัตตาหารแล้วถูกหวยรวยกันถ้วนหน้า

สงสัยต้องผมต้องรีบไปหามาบูชาซะแล้ว หวยกำลังจะออกแล้วไม่รู้จะหาทันหรือป่าวถ้าไม่ทันก็คงต้องรองวดหน้า55 ถูกกินมันทุกงวดงวดละนิดละหน่อย(ไม่สนับสนุนให้เล่นการพนันกันนะคับ) lส่วนรูปที่เห็นผมดึงมาจากอินเตอร์เน็ทนะคับ อย่าเข้าใจผิดว่า เป็นของวัดถ้ำรัตนคีรี แต่จริงๆวัดไหนก็ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันแหละครับ แต่วัดนี้ท่าทางจะดังสุดแล้วเพราะมีพระธาตุของพระสีวลีผสมอยู่ด้วย ว่างๆผมคงจะหาเวลาไปที่วัดถ้ารัตนคีรี เหมือนกัน ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยซะเลย  ขับรถชมวิว ดูสาวๆจังหวัดอุทัยธานีไปด้วย  อะไรจะสุขขนาดนั้น 55++ ที่แนะนำว่า ควรไปที่วัดด้วยตัวเอง เพราะ เราย่อมได้ของแท้มาไว้บูชาแน่นอน  เวลาผมจะเช่าหรือบูชาวัตถุมงคล อะไรตามผมจะไปที่วัดนั้นๆด้วยตัวเองเสมอครับ


เอารูปทางเข้าวัดถ้ำรัตนคีรีมาให้ดูกัน จะได้ไม่หลงทางกัน  ว่างๆก็แวะไปเยี่ยมวัดกันบ้างนะครับทุกท่าน

พระสีวลี ประวัติและความเป็นมาภาค 2

พระนางสุปปวาสาเทวีทรงพระครรภ์อยู่นานถึง 7 ปี ผิดไปกว่าบุคคลธรรมดาเมื่อล่วงไปอีก 7 เดือน 7 วัน พระนางสุปปวาสาเทวีจึงคลอดพระกุมารนั้นออกมา แต่เป็นไปด้วยความยากลำบากอย่างยิ่งเพราะบังเกิดความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส พระนางถึงกับกล่าวกับพระราชสวามีว่า "หม่อมฉันมีครรภ์มา 7 ปี 7 เดือน และเจ็บปวดทรมานมา 7 วันแล้วรู้สึกว่าชีวิตนี้ตกอยู่ในอันตราย อาจจะตายในวันนี้หรือวันพรุ่งนี้ ขอให้พระองค์เสด็จไปเฝ้าพระพุทธเจ้าแทนหม่อมฉันด้วยเถิด กราบบังคมทูลพระพุทธองค์ด้วยว่า หม่อมฉันยังระลึกถึงพระพุทธองค์อยู่เป็นนิจ และขอถวายบังคมพระพุทธบาทด้วยเศรียรเกล้า"

เมื่อพระราชสวามีไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อเล่าอาการของพระนาง  พระพุทธองค์ทรงประทานพรว่า "ขอให้พระนางสุปปวาสา ราชธิดาของพระเจ้ากรุงกาลิยะ จงมีความสุขหาโรคภัยไข้เจ็บมิได้ จงประสูติกุมารอันบริสุทธิ์ปราศจากโรคภัยเถิด"

พระเจ้ามหาลิจฉวีทรงดำริว่าพระพุทธองค์ตรัส คำไหนย่อมเป็นไปตามนั้น จึงรีบกลับไปยังพระราชวัง แต่ยังไม่ทันถึง  พระนางสุปปวาสาเทวีก็ได้ประสูติพระโอรสเสียก่อน การประสูตินั้น ก็ง่ายดุจเทน้ำออกจากกระบอกและพระกุมารที่คลอดออกมานั้นก็ได้รับพระราชทานนามว่า "สีวลี"

เมื่อพระสีวลีคลอดออกมาก็เจริญวัยเท่ากับเด็กอายุ 7 ขวบ ทั้งนี้เพราะอยู่ในพระครรภ์ของมารดายาวนานถึง 7 ปีนั่นเอง ในวันต่อมาทางพระราชวังของพระเจ้าลิจฉวีได้นิมนต์พระพุทธองค์ พร้อมทั้งพระสาวกมาฉันภัตตาหารที่พระราชวัง เป็นการถวายมหาทานที่พระนางสุปปสาวาเทวีทรงคลอดพระโอรสออกมาอย่างปลอดภัย  ในระหว่างการถวายมหาทาน พระสารีบุตรอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธองค์ถามพระกุมารสีวลีว่า ในระหว่างที่อยู่ในครรภ์ 7 ปี มีสุขทุกข์อย่างไร กุมารสีวลีกล่าวตอบว่า "สุขมาแต่ไหนขอรับ มีแต่ทุกข์แสนสาหัส ทนอึดอัดไม่เห็นเดือนไม่เห็นตะวันตั้ง 7 ปี 7 เดือน วันนั้นแสนเนิ่นนาน" พระราชกุมารตอบ

พระสารีบุตรถามกุมารต่อไปว่า เมื่อเห็นทุกข์ในการเกิดดดังนี้่เธอไม่คิดอยากบวชบ้างหรือ สีวลีราชกุมารได้ยินดังนั้นก็ตอบว่า "ถ้าได้รับอนุญาตก็จะบวช"

ประวัติและตำนานความเป็นมาของพระสีวลี


พระสีวลี ในอดีตชาติเคยถวายน้ำผึ้งแด่พระวิปัสสีพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายเป็นโอรสของพระนางสุปปวาสาเมื่อแรกกำเนิดอยู่ในครรภ์นั้น พระมารดาได้รับถวายเครื่องบรรณาการถึง 500 ชนิด ตั้งแต่เช้าถึงเย็น แต่ด้วยวิบากกรรมเก่า พระสีวลีอยู่ในครรภ์มารดานานถึง 7 ปี 7 วัน  เมื่อพระสีวลีออกบวช ในขณะที่โกนผมปอยแรกออกก็บรรลุโสดาบัน  ขณะโกนผมปอยที่สองได้บรรลุสกิทาคามี  ขณะโกนผมปอยที่สามได้บรรลุอนาคามีผล เมื่อโกนผมหมดศรีษะก็บรรลุอรหัตผลทันที

ท่านเป็นผู้บำเพ็ญทานอย่างยอดเยี่ยม  เป็นแบบอย่างให้สาธุชนยึดถือปฏิบัติ แม้แต่เทวดาที่สถิตอยู่ ณ ต้นนิโครธ เพียงเมื่อพบเห็นพระสีวลีครั้งแรกยังได้ถวายทานแด่พระสีวลีเป็นเวลา 7 วัน เมื่อพระสีวลีจาริกไปที่ใดพร้อมกับภิกษุอีก 500 รูป เทวดาก็ได้ถวายทานแห่งละ 7 วัน เมื่อครั้งที่พระพุทธองค์(พระพุทธเจ้า)เสด็จไปตามหาพระเรวัตถะในป่า 30 โยชน์ ได้รับสั่งให้พระสีวลีไปด้วย เนื่องจากเป็นทางทุรกันดาร ภักษาหารหายาก เมื่อพระสีวลีไปด้วยแล้วภิกษุทั้งหลายย่อมไม่ลำบากด้วยภักษาหาร เพราะจะมีผู้นำมาถวายเสมอ พระพุทธองค์จึงทรงสถาปนาพระสีวลีไว้เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เลิศในลาภสักการะ

พระสีวลีเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ามหาลิจฉวี และพระนางสุปปวาสาเทวี เมื่อตอนอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาก็มีบุญอัศจรรย์  คือ สามารถนำลาภสักการะมาให้แก่พระมารดาเป็นอันมาก โดยมีคนนำเอาเครื่องบรรณาการถึง 500 อย่างมาถวายทุกเช้าเย็น  จนเป็นที่เลื่องลือว่าตั้งแต่พระนางสุปปวาสาเทวีทรงพระครรภ์นี้ก็บังเกิดเป็นบุญลาภมากมาย  แสดงว่าผู้ที่มาเกิดนี้เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการสูงส่ง

ความอัศจรรย์ยิ่งบังเกิดมากขึ้นไปอีก  เมื่อพระนางสุปปวาสาเทวีจับข้าวเมล็ดหนึ่ง ก็ปรากฎปาฏิหาริย์ข้าวเมล็ดนั้นแตกออกไปเป็น 100 เมล็ด 1,000 เมล็ด เวลาหว่านลงไปในไร่นาหนึ่งๆ ก็ได้ข้าวถึง 50-60 เกวียน เวลาขนข้้าวขึ้นยุ้ง เมื่อพระนางจับยุ้งข้าวไหนจะปรากฎว่าข้าวในยุ้งนั้นตักออกไปได้ไม่รู้จักหมด แม้กระทั่งข้าวที่อยู่ภายในหม้อก็เช่นกัน  เมื่อพระนางจับหม้อข้าวใบใด หม้อข้าวใบนั้นแม้จะตักไปกินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักหมด ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ประชาชนจำนวนมากมาขอร้องให้พระนางจับข้าวของตน ก็บังเกิดเป็นของทิพย์เพิ่มพูนออกมาอย่างน่าประหลาดใจ  ด้วยอำนาจแห่งพระกุมารที่อยู่ภายในพระครรภ์

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับความมหัศจรรย์ของพระสีวลี  สมกับคำเล่าลือว่า  ผู้ใดมีไว้ครอบครองและสักการบูชา จะไม่มีวันอดอยาก  ตัวกระผมมีอยู่หนึ่งองค์  เป็นของ อาจารย์ คม ไตรเวท  ตำบลบ้านบางกุ้ง  อำเมือง  จังหวัดสุพรรณบุรี  ที่ได้ชื่อว่า เป็นจอมขมังเวทย์สายฆราวาส  เป็นผู้ปลุกเสก ผมได้โดยบังเอิญ เนื่องจากไปทำบุญสะเดาะห์เคราะห์มาเมื่อปีที่แล้ว  เห็นว่า พระสีวลีของอาจารย์คม สวยดี ก็เลยเช่ามาบูชา ทั้งๆที่ตอนแรก อยากได้ ของ หมอไพศาล  หมอดูชื่อดังของเมืองไทย   เดี๋ยวมีประวัติต่อนะครับ ยังไม่จบ  ต่อหน้าต่อไปคับ อิอิ

พระธาตุพระสีวลี

พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ และพระอริยสงฆ์ธาตุเชื่อกันว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอานุภาพปกป้องคุ้มครอง ทำให้ร่มเย็นเป็นสุข  หนึ่งในจำนวนพระอรหันตธาตุที่สำคัญที่คนโบราณยกย่องนับถือมากที่สุด ก็คือ พระธาตุของพระสีวลีเถระ  เนื่องด้วยพระสีวลีเป็นเลิศในด้านความอุดมสมบูรณ์  ไปไหนมาไหนไม่อดอยาก พระพุทธเจ้าก่อนจะประทานความเป็นเอตทัคคะด้านนี้ให้แก่พระสีวลีทรงทำการทดสอบบารมีให้เป็นที่ประจักษ์แก่หมู่สงฆ์ทั้งปวงเดินทางไปในที่ห่างไกลทุรกันดาร แต่ปรากฎว่าเป็นที่อัศจรรย์ว่า เมื่อพระสีวลีเหยียบย่างเข้าไปในถิ่นใด สถานที่นั้นๆก็กลับกลายเป็นที่อุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้น เป็นที่ประจักษ์ในบุญบารมีของพระสีวลี

ในธรรมชาตินั้นมีธาตุที่พระแม่ธรณีได้สร้างขึ้น โดยถือตามสมมุติว่านั่นคือ ธาตุแห่งองค์พระสีวลี ธาตุดังกล่าวนี้มีลักษณะคล้ายเม็ดพุทรา มีขนาดเล็กตั้งแต่ไข่ปลาจนถึงขนาดเท่ากำปั้น ลักษณะจะเป็นปุ่มโปนงอกขึ้นทั่วไป บางองค์ดูคล้ายน้อยหน่า บางองค์คล้ายเมล็ดมะละกอ บางทีก็คล้ายผลยอป่า สีเขียวดังดอกผักตบ แดงดังสีหม้อใหม่ สีพิกุลแห้ง สีเหลืองดังหวายตะค้า หรือขาวเหมือนสีสังข์ อย่างใดอย่างหนึ่ง

ลักษณะของพระธาตุพระสีวลีนั้น แปลกที่มีลักษณะเป็นตุ่มงอกไปมาทั่วทั้งองค์ คน โบราณท่านถือว่านี่คือสัญลักษณ์แห่งการงอกงาม ผู้ใดก็ตามมีไว้สักการะจะไม่มีวันอดอยากตลอดทั้งชีวิต มักพบตามถ้ำ โดยเฉพาะถ้ำที่มีน้ำขังลอดผ่านภายในถ้ำ ลักษณะถ้ำต้องสะอาดและชุ่มเย็น พระธาตุพระสีวลีจะอยู่ตามหลืบถ้ำ และแปลกที่ว่า องค์พระธาตุจะประทับอยู่บนแท่นหินที่มีลักษณะคล้ายดอกบัวและมักแช่อยู่ในน้ำ องค์พระธาตุพระสีวลีต่างกับตะกอนน้ำโดยทั่วไปเพราะองค์พระธาตุจะแข็งแกร่ง  คล้ายว่าเป็นหินงอกหินย้อยที่ปั้นเป็นลูกกลมๆองค์ที่แตกจะสังเกตุได้ว่า มีผลึกขาวใสดุจผลึกแก้วอยู่ภายในส่วนตะกอนน้ำนั้นเมื่อบีบก็แตก ไม่แกร่งเหมือนองค์พระธาตุ

ที่น่าทึ่งที่สุดคือ พระธาตุแต่ละขนาดจะแยกขนาดกันเองไม่ปะปนกัน องค์ใหญ่เท่ากำปั้นก็จะกองอยู่โดยสันโดษ  องค์ที่เล็กเท่าหัวแม่โป้งก็จะกองรวมกัน ไม่คละปะปนกัน น่าแปลกมาก เรื่องนี้ผู้ที่เข้าถ้ำไปทุกคนต่างยืนยันได้ ดุจว่า สิ่งนี้มีเทพยดามาจัดไว้ฉะนั้น

ที่น่าแปลกคือพระธาตุพระสีวลีนี้เมื่อนำมาบูชาที่บ้าน ท่านก็ยังงอกองค์ต่อได้ เมืองอกไปเรื่อยๆ บางส่วนจะหลุดออกมาบังเกิดเป็นองค์ใหม่ขึ้นอีกองค์ บางคราวท่านอาจเสด็จตามมาเพิ่ม หรือสามารถเปลี่ยนสัณฐานได้อย่างน่าแปลกใจ ยิ่งบูชาท่านไว้ ท่านยิ่งงอกให้เห็นเป็นที่ประหลาด แม้จะใส่ตลับบูชาไว้กับตัวก็ตาม

พระสีวลี พระอรหันต์ผู้บันดาลลาภผลและความอุดมสมบูณ์

"แม้เพียงเอ่ยนามหรือสวดพระคาถารำลึกถึงพระสีวลีด้วยความเลื่อมใสลาภสักการะก็จักไหลมาสู่บุคคลผู้นั้นราวกับสายน้ำ ความอุดมสมบูรณ์ทั้งปวงก็พลันบังเกิดขึ้น"

อยากมีกินมีใช้ต้อง พระสีวลี

พระสีวลี หรือเรียกอีกชื่อว่า พระฉิมพลี เป็นพระบูชาที่ได้ัรับความนิยมสูงจากประชาชนโบราณาจารย์และวัดต่างๆมากมายในเมืองไทยจึงทำรูปเคารพพระสีวลีขึ้นมาสักการบูชา  เน้นทางด้านลาภผลโดยตรง ท่านว่าดีทางโชคลาภอย่างสุดยอด เพราะเป็นพระอรหันต์ผู้เลิืศด้วยลาภสักการะยิ่งกว่าพระภิกษุองค์ใดในสมัยพุทธกาล พระสีวลีองค์ขนาดใหญ่มีการสร้างประดิษฐานไว้ตามวัดต่างๆทั่วประเทศส่วนพระเครื่องพระบูชานั้นมีพระคณาจารย์สร้างออกมาไม่มากนัก เช่น หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง หลวงปู่นาค วัดระฆัง หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้น อานุภาพแห่งพระสีวลีนี้นับถือกันว่า เป็นยอดแห่งความสมบูรณ์พูนสุข

รูปลักษณะแห่งพระสีวลี

ด้วยความศรัทธาในองค์พระสีวลี แม้เพียงสักการบูชาเคารพรูปสมมุติแทนองค์พระสีวลี ก็ยังบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์นานาประการ โบราณาจารย์ท่านได้สร้างรูปเหมือนของพระสีวลีเป็นพระกำลังเดินธุดงค์บนดอกบัวคว่ำบัวหงาย สะพานบาตร กลด กาน้ำ ย่าม พัด ลูกประคำและไม้เท้า ถือเป็นสัญลักษณ์ว่าพระสีวลีนั้นเป็นพระธุดงค์ และเมื่อเหยียบย่ำไปที่ใดก็ตาม  ที่นั่นก็จะสงบสุขร่มเย็น  อุดมสมบูรณ์ ปราศจากความแห้งแล้งกันดารโดยพลัน ประกอบกับเป็นที่ระลึกถึงคราวที่พระพุทธองค์(พระพุทธเจ้า)ทรงทดสอบบุญญาบารมีของพระสีวลีโดยให้เดินธุดงค์ไปในถิ่นทุรกันดารพร้อมพระภิกษุจำนวนมาก ซึ่งก็ปรากฎว่า อำนาจบารมีของพระสีวลีทำให้เหล่าเทพยดามาบำรุงพระภิกษุทั้งปวงไม่ให้ได้รับความอดอยากแม้แต่น้อย

สำหรับคติทางลังกานั้นจะทำเป็นรูปพระสีวลีกำลังฉันภัตตาหาร  เป็นลักษณะของความอุดมสมบูรณ์โดยแท้ คติความเชื่อเรื่องพระสีวลีมีปรากฎอยู่ทั่วไปในลังกาและดินแดนสุวรรณภูมิ ไม่ว่า ไทย พม่า ลาว เขมร ล้านนา ก็ล้วนนับถือกันทั้งสิ้น  สำหรับที่วัดชำนิหัตถการ (วัดสามง่าม) เชิงสะพานยศเส เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร  มีการสร้างรูปเหมือนพระสีวลีองค์ใหญ่ไว้สักการบูชาแต่เป็นลักษณะทีแตกต่างออกไป  คือ เป็นปางนั่งถือร่มและพัด สร้างตามคติที่ว่า "ลาภมหา" คือ ไม่ต้องเดินทางไปก็มีลาภผลเข้ามาเอง (ผู้เขียนก็กำลังหาปางนี้อยู่เหมือนกัน อยู่ดีๆก็มีลาภเข้ามาไม่ต้องเหนื่อย ดีจัง ที่เห็นว่ามีปางนั่ง ก็ที่วัดเพชรบุรี  จ.สุรินทร์  ปลุกเสกโดยหลวงปู่หงษ์ นะคับ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปางธุดงค์แบบที่เราเห็นกันบ่อยๆ)

วัสดุที่นำมาสร้างส่วนใหญ่จะเป็น ไม้ โลหะ งาช้าง และปูนปั้น  โดยเฉพาะไม้และงาช้างมีรายละเอียดที่ประณีตงดงามมากที่สุด

พระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดบูชาของสำนักต่างๆที่ได้รับความนิยม

-วัดเทพพุทธาราม (วัดเซียนฮุดยี่) สี่่แยกเฉลิมไทย อ.เมือง จ.ชลบุรี

-วัดไทย วัดจีนหรือวัดพุทธศาสนามหายานแทบทุกวัด

พระเครื่องพระโพธิสัตว์กวนอิมของสำนักต่างๆที่ได้รับความนิยม

-พระเครื่องโพธิสัตว์กวนอิม เนื้อดิน ด้านหลังเป็นภาษาจีน  พ่อท่านคล้าย  วัดสวนขัน  จ.นครศรีธรรมราช

-เหรียญกวนอิมโพธิสัตว์ มูลนิธิโรงพยาบาลเทียนฟ้า เยาวราช กรุงเทพมหานคร

-พระเครื่องโพธิสัตว์กวนอิม วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร

-พระเครื่องโพธิสัตว์กวนอิม หลวงปู่โต๊ะ  วัดประดู่ฉิมพลี  กรุงเทพมหานคร

-เหรียญเจ้าแม่กวนอิม วัดทรัพย์ไม้แดง จ.เพชรบูรณ์  ปลุกเสกโดยหลวงปู่โต๊ะ  วัดประดู่ฉิมพลี

-เหรียญเจ้าแม่กวนอิมปี 2519 จ.นครราชสีมา  ปลุกเสกโดยหลวงพ่อคูณและหลวงปู่โต๊ะ  (เหรียญนี้ดังและศักดิ์สิทธิ์มากๆ เพราะปลุกเสก โดย พระเกจิอาจารย์จอมขมังเวททัี้ง 2 รูป)

ประสบการณ์ปาฏิหาริย์ของพระอวโลกิเตศวรกวนอิมโพธิสัตว์มีมากมายจริงๆครับ นอกจากประเทศไทยแล้ว  ยังมีประสบการณ์ของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ จีนไต้หวัน  เกาะฮ่องกง สิงคโปร์  บารมีท่านสูงส้นเหลือเกิน  แม้เพียงอธิษฐานขอพรจากรูปเหมือนเจ้าแม่กวนอิมเนื้อเซรามิก ธรรมดาๆที่ขายกันตามท้องตลาด ก็ยังศักดิ์สิทธิ์  ให้พรกันมานักต่อนักแล้ว  ท่านผู้อ่านจะลองอธิษฐานขอพรบ้างก็ได้นะครับ แต่มีข้อแม้ว่าท่านต้องปฏิบัติตามข้อห้ามของพระแม่กวนอิม คือ งดเว้นการบริโภคเนื้อวัวเนื้อควาย และหมั่นถือศีลกินเจตามโอกาสอันควรด้วย(เทศกาลกินเจ) แล้วท่านจะประสบอานุภาพแห่งพระแม่กวนอิมด้วยตัวท่านเอง

คาถาหัวใจพระโพธิสัตว์กวนอิม

"โอม มะ ณี ปะ มี ฮง" (ภาษาจีน)หรือ "โอม มณี ปัท เม หุม"(ภาษาสันสกฤต)

คาถา"โอม มะ ณี ปะ มี ฮง" นี้ใช้สวดได้ทุกออิริยาบถ ทุกเวลา ถ้ายิ่งสวดได้มากยิ่งเป็นการดี การสวดหนึ่งครั้งผู้สวดควรสวดด้วยจิตน้อมถึงองค์พระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ (อวโลกิเตศวร) จึงเป็นบุญเป็นผลอเนกอนันต์เวลาสวดอย่ารีบร้อน ให้ใช้วิธีนับประคำ 108 เม็ด คือ สวด 1 จบ นับประคำ 1 เม็ด สวดจนครบ 108 จบ

คาถา"โอม มา ณี ปะ มี ฮง" หรือ"โอม มณี ปัท เม หุม" เป็นคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวพุทธมหายานทั้งหลายไม่ว่าในประเทศอินเดีย ธิเบต จีน เกาหลี ไต้หวัน เป็นต้น ต่างทราบกันดีว่า เป็นคาถาหัวใจของพระโพธิสัตว์กวนอิม

มูลเหตุแห่งพระคาถาบทนี้มีว่า ในครั้งอดีตอันยาวนานขณะที่พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกำลังเข้าสมาธิบำเพ็ญบารมีอยู่นั้น หมู่มารได้มารังควาน แต่ด้วยพระมหาเมตตากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาลของพระองค์ จึงมิได้ตอบโต้แต่ประการใด หมู่มารเห็นเช่นนั้นก็ได้ใจ ยิ่งราวีหนักขึ้น จนในที่สุดพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรได้ทรงเปล่งพระวาจาออกมาสั้นๆเพียง 6 คำ แต่เปี่ยมด้วยบุญญาภินิหารอันยิ่งใหญ่มิอาจจะเปรียบประมาณได้ซึ่งก่อกำเนิดมาจากก้นบึ้งแห่งดวงจิตที่ได้บำเพ็ญสั่งสมบุญบารมีมานานนับภพชาติไม่ถ้วนว่า  "โอม มา ณี ปะ มี ฮง" ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ของพระคาถาบทนี้เอง ทำให้หมู่มารทั้งหลายต่างขวัญหนีแตกกระเจิงไปสิ้น  อีกทั้งเหล่าทวยเทพยดาบนชั้นฟ้าต่างลุกขึ้นมาโมทนาสาธุโดยทั่วกัน

"โอม  มา  ณี   ปะ  มี  ฮง" นี้คือ มณีแห่งดอกบัว หรือหัวใจที่เบิกบานใจที่สะอาดสว่างหลุดพ้นจากเครื่องพันธนาการ คือ กิเลสที่ร้อยรัดให้เศร้าหมอง  มณี คือใจของเรา  ดอกบัว คือ อาสนะอันบริสุทธิ์

ดังนั้นผู้ที่ภาวนาพระคาถานี้อยู่เนืองๆย่อมเป็นผู้ที่มีแก้วสารพัดนึก จะเป็นอาสนะอันวิเศษนำพาให้ไปถึงนิพพานได้ (นิพพาน คือ ภาวะแห่งการหลุดพ้นในพุทธศาสนา)

อย่าลืมคาถานี้นะครับสำหรับผู้ที่เคารพและรักเจ้าแม่กวนอิม คาถาหัวใจ สั้นๆมีแค่ 6 คำ หวังว่า คงไม่จำกันยากจนเกินไปนะครับ  "โอม  มา  ณี  ปะ  มี  ฮง"

พระโพธิสัตว์กวนอิม องค์ใหญ่สถานที่ท่านสามารถไปสักการบูชา

-พระตำหนักพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์  ซอย โชคชัยสี่  เขตลาดพร้าว  กรุงเทพมหานคร

-มูลนิธิโรงพยาบาลเทียนฟ้า  เยาวราช  กรุงเทพมหานคร

-วัดอินทรวิหาร  เขตพระนคร  กรุงเทพมหานคร

-วัดอนัมนิกายาราม (วัดญวนบางโพ)  ถนน ประชาราษฎร์  สาย 1 เขตบางซื่อ  กรุงเทพมหานคร

-วัดชำนิหัตถการ  เขตปทุมวัน  กรุงเทพมหานคร

-วัดประดู่ฉิมพลี  กรุงเทพมหานคร

-วัดศรีมหาโพธิ์  อำเภอ นครชัยศรี  จังหวัด นครปฐม

-พุทธสถานจีเต็กลิ้ม  อำเภอ เมือง  จังหวัด นครนายก

-พระโพธิสัตว์กวนอิม  ใกล้วัดช่องลม  จังหวัด สมุทรสาคร

-วัดถ้ำแฝด  จังหวัด กาญจนบุรี

-อุทยานพระโพธิสัตว์กวนอิม  อำเภอ แก่งกระจาน  จังหวัดเพชรบุรี(ปางพันมือองค์ใหญ่ที่สุดในโลก)

-พระโพธิสัตว์กวนอิมทอง  (ในวิหารแก้ว) ใกล้พระอุโบสถ  วัดห้วยทรายใต้  อำเภอ ชะอำ  จังหวัดเพชรบุรี

-วัดท่าตอน  อำเภอ แม่อาย  จังหวัด เชียงใหม่

-มูลนิธิซำปอกง (หลวงพ่อโต)  อำเภอ ทุ่งสง  จังหวัด นครศรีธรรมราช (โพธิสัตว์กวนอิมองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย)

-พระวิหารพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์กวนอิม  วัดหนองหอย  อำเภอ เมือง  จังหวัด ราชบุรี

กำเนิดพระแม่กวนอิม

อาณาจักรชิงหลินมีเจ้าผู้ครองนามว่า พระเจ้าเมี่ยวจวงและมเหสีเชี่ยวหลิน มีพระธิดาอยู่ 3 พระองค์ คือ พระนางเมี่ยวเซง  พระนางเมี่ยวหยิน และพระธิดาเมี่ยวซัน(เจ้าแม่กวนอิม)  พระธิดาองค์นี้มีความงามบริสุทธิ์ตรึงใจของบุรุษเพศและผู้พบเห็น นอกจากจะมีความงามภายนอกแล้วดวงพระทัยของพระองค์ยังทรงมีน้ำพระทัยเมตตาอารีแก่คนและสัตว์

พระราชธิดาเมี่ยวซัน ได้เติบโตเป็นสาวขึ้นมาท่ามกลางสภาพการประหัตประหาร พระองค์จึงได้ตั้งปณิธานไว้ว่า  "จะต้องพยายามด้วยความมานะอดทนเพื่อขจัดทุกข์ของมวลมนุษย์ทั้งหลายให้พบความสุขให้จงได้"แต่พระบิดาต้องการให้มีคู่ครองเพื่อจะได้เป็นกำลังสำคัญป้องกันอาณาจักรชิงหลิน แต่นางได้กราบทูลต่อบิดาว่า "ข้าฯ แต่บิดาผู้มีพระคุณผู้มีพระคุณล้ำฟ้าของลูก ลูกทราบเจตนาของบิดาที่จะให้ลูกมีความสุขกับชายผู้กล้า แต่หม่อมฉันขอพระกรุณาจากพระราชบิดา ลูกขอกราบบังคมทูลไปออกบวชเป็นพระภิกษุณี บำเพ็ญบุญกำจัดบาปจนกว่าจะบรรลุพระโพธิสัตว์ญาณ" ทำให้พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่พอพระท้ย แต่ก็พยายามปลอบและขู่ไปด้วยในที ก็หาชนะจิตใจของพระนางไม่

พระราชบิดาพยายามแกล้งให้พระราชธิดาทุกข์ยากลำบาก จะได้กลับใจเลือกคู่ครอง แต่พระโพธิสัตว์มีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงยิ่งนัก เมื่อพระราชธิดา เมี่ยวซันได้ออกบวชเป็นภิกษุณี  พระนางทำงานด้วยพระองค์เองทุกอย่าง แต่น่าอัศจรรย์ ด้วยอำนาจบุญกุศล ทุกครั้งที่พระนางจะทำอะไร มัีกมีเหล่าเทวดาที่สถิตอยู่ในที่ต่างๆ พากันมารับอาสาช่วยเหลือแทนอยู่เสมอ จึงทำให้พระนางมิต้องแตะต้องงานเหล่านี้เลย คงมีแต่การบำเพ็ญสมาธิภาวนาเท่านั้น

พอเหตุการณ์ทราบถึงพระกรรณของบิดา จึงมีบััญชาให้ทหารไปทำการเผาอารามนกขาว เมื่อแสงพระเพลิงสว่างขึ้น พระภิกษุณีเข้าที่ทำสมาธิ ได้อธิษฐานจิตลงไปว่า "ขอพระเพลิงอย่าลุกลามทำลายอารามให้เป็นที่เสียหายเดือดร้อนเลย ข้าพเจ้าขอรับความทุกข์แต่เพียงผู้เดียว"

เทพเทวาจึงบันดาลให้บังเกิดฝนตก จนสามารถดับเพลิงได้หมดพระเจ้าเมี่ยวจวงได้ล่วงรู้ความเป็นความเป็นผู้มีบุญญาธิการแก่กล้านัก  ก็ทรงพิโรธ  ให้ทหารไปจับตัวพระธิดามาและตรัสสั่งให้ประหารชีวิต

น้ำพระทัยแห่งพระโพธิสัตว์เจ้ามิเคยหวั่นไหว ไม่ทรงขอร้องให้ชีวิตยืนอยู่ต่อไป  จิตใจเยือกเย็นดุจหยาดน้ำทิพย์ หลับพระเนตร นิ่งนึกแผ่เมตตาธรรมแก่พระราชบิดา  พระราชมารดา และบรรดาเพชรฆาต ไม่ขอติดใจให้กลายเป็นหนี้กรรมต่อกัน  เมื่อดาบของเพชรฆาตกระหน่ำลงสู่พระศอ กลับเด้งขึ้นอย่างรุนแรง หอกของเพชฌฆาตลงไปสู่สรีระกลับไม่เกิดผลอีกเช่นเคย ต่อจากนั้นอาวุธนานาชนิดต่างก็ก่อกรรมกับร่างกายพระนาง ก็หาระคายผิวของพระธิดาไม่  จึงรับสั่งให้ทหารเอาผ้าแพรมารัดคอฟ้าดินมองเห็นความโหดร้าย ทันใดนั้นมีแสงสว่างลอยพุ่งมาจากขอบฟ้า ตรงมายังร่างสงบนิ่งของพระภิกษุณีเมี่ยวซัน พลันผ้าแพรที่รัดคอกลับกลายเป็นพยัคฆามาคาบร่างพระภิกษุณีโผนออกสู่ราวป่า ภิกษุณีเมี่ยวซันครั้นลืมพระเนตรก็พบพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมาทดสอบจิตใจของท่าน

พระภิกษุณีเมี่ยวซันได้ติดตามพระโพธิสัตว์ผู้มาโปรด  เพื่อได้บำเพ็ญบารมีสมดังใจปรารถนา  โดยได้นำพระภิกษุณีเมี่ยวซันเกาะอันสงบ 9 ปีแห่งการบำเพ็ญธรรม ได้บรรลุผลแห่งความพากเพียรจนสำเร็จผลเป็นพระโพธิสัตว์เจ้า มีฉายาธรรมในภาษาจีนว่า "กวนซี อิมผ่อสัก" ซึ่งหมายถึงพระโพธิสัตว์ผู้สดับฟังเสียงแห่งโลก เมื่อบรรลุสมความปรารถนาแล้ว ทรงกำหนดจิตถึงพระบิดาทางสมาธิก็ให้แจ้งตามความเป็นจริงว่า พระบิดาเมี่ยวจวงเกิดประชวรอย่างหนัก ทั้งยังมีศัตรูปองร้ายคอยฉวยโอกาสที่จะแก้แค้นอยู่เป็นนิตย์

ทรงรำพึงในใจว่า "ลำพังการรักษาพระโรคของพระราชบิดาก็ย่อมหายได้  แต่วิสัยของพระบิดาเป็นบุคคลที่มีความทิฐิมากนักไม่ยอมให้รักษาเป็นเด็ดขาด  ทางที่ดีควรให้ศิษย์ผู้ปัญญาหาอุบายไปรักษาให้ จะสมควรกว่า" ศิษย์ของพระองค์ที่ชื่อ ซานใช้ จึงเดินทางเข้าพระราชวังดำเนินการตามอุบายที่รับสั่งมา

"โรคภัยของพระองค์ในครั้งนี้จะรักษาให้หายจริงๆแล้ว จำต้องใช้สิ่งสำคัญมาทำยา  มีตัวยาสำคัญดังนี้่้ ต้องใช้แขนขาและดวงตาทั้ง 2 ข้างของพระโพธิสัตว์มาทำเป็นยา  นอกจากตัวยาวิเศษนี้แล้วจะไม่มียาใดๆเลยในโลกนี้จะรักษาได้"  ซานใช้ทูลต่อพระเจ้าเมี่ยวจวง   พระเจ้าเมี่ยวจวงจึงสั่งให้เสนาบดีไปเอาดวงตาและแขนของพระโพธิสัตว์มาให้ได้

เจ้าแม่กวนอิมพระโพธิสัตว์เจ้าทรงสละทานอันยิ่งใหญ่ เพื่อทดแทนพระคุณของบิดา ด้วยการควักดวงตาและบั่นแขนทางด้านซ้ายอย่างละหนึ่ง  แล้วมอบให้ทหารนำไปทำยารักษาพระโรคของพระเจ้าเมี่ยวจวง เมื่อประกอบตัวยาแล้วเสวย ทำให้พระโรคของพระองค์หายไปครึ่งหนึ่งในความรู้สึกของพระองค์ แต่อย่างไรก็ตามอาการเจ็บป่วยและทุกขเวทนาของพระเจ้าเมี่ยวจวงก็ยังทรงอยู่  ทำให้เกิดความทุกข์อย่างมาก ในที่สุดซานใช้ ได้บอกให้เสนาบดีและทหารออกไปรับตัวยาวิเศษ คือ ดวงตาข้างขวาและแขนขวาของพระโพธิสัตว์เจ้ามาทำยาถวาย  เพื่อกำจัดโรคภัยที่ยังคั่งค้างอยู่จนหายทุกขเวทนา

ความลี้ลับอัศจรรย์เกิดขึ้นเพราะอำนาจแห่งความเป็นผู้รู้จักพระคุณของบิดามารดา  และอำนาจแห่งทานคือการเสียสละอันยิ่งใหญ่นั่นเอง  พระเจ้าเมี่ยวจวงผู้ครองอาณาจักรชิงหลิน จึงหายจากโรคร้ายนั้นอย่างสิ้นเชิง  ยาวิเศษอันประกอบด้วยดวงตาและแขนของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์ได้ทำความประหลาดใจแก่พระเจ้าเมี่ยวจวงไม่น้อย จึึงตรัสถามซานใช้ ไปว่า

"เรามีความสงสัยแท้  พระโพธิสัตว์องค์ใดหนอที่อุิทิศตาและแขนให้กับเราเพื่อมาทำยา  ท่านมีนามว่ากระไรหรือ" ซานใช้ได้ทูลความจริงให้ทราบว่า "ข้าฯแต่พระองค์  ดวงตาและแขนที่นำมาทำยาถวายพระองค์ไปนั้น แท้จริงแล้วท่านได้ฉายานามว่า พระโพธิสัตว์กวนอิมหรือกวนซีอิมผ่อสัก  แต่เดิมพระองค์ก็คือพระธิดาเมี่ยวซันของพระองค์เองพระเจ้าข้า"

พระเจ้าเมี่ยวจวงถึงกับทรุดลงน้ำตาคลอบังเกิดสำนึกบาปกรรมของตนที่ทรงกระทำไ้ว้แก่พระธิดาอย่างสาหัส ฉับพลันความสำนึกผิดบังเกิดขึ้นภายในดวงใจ  ด้วยอำนาจบารมีของพระโพธิสัตว์กวนอิม สามารถดับความโลภ ความโกรธ ความหลง ออกได้จนหมดสิ้น พระองค์จึงทรงประกาศสละราชสมบัติ  มอบหมายหน้าที่การเมืองให้ราชบุตรเขยดูแลแทน พระองค์ขอติดตามไปกราบพระแม่กวนอิม ก่อนออกจากอาณาจักร  พระเจ้าเมี่ยวจวงได้กระทำความดีไว้ด้วยการทำทานอันยิ่งใหญ่ คือ

1.ทรงปลดปล่อยเชลยศึกจนหมดสิ้น
2.คืนทรัพย์สินสมบัติต่างๆที่เคยยึดมาจากต่างเมือง

ครั้นพระเจ้าเมี่ยวจวง พระมเหสีและพระพี่นางไปถึงอาวาสของพระโพธิสัตว์พระแม่กวนอิมแล้ว ได้พบกับภาพอันน่าสลดใจนั้นถึงกับร่ำใชไห้ด้วยความสงสาร  เพราะสภาพสังขารของพระโพธิสัตว์ที่ไร้ดวงตา และแขนทั้งสองถูกบั่นออก พระเจ้าเมี่ยวจวงเสียพระทัยอย่างสุดซึ้ง  การปฏิบัติสมาธิภาวนาจิตใจที่เจริญพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นวิสัยอันนับชาติไม่ถ้วน  พระโพธิสัตว์กวนอิมได้กล่าวแก่พระบิดาว่า "ขอพระบิดาเจ้าอย่าไปเสียพระทัยไปเลย  ข้าพเจ้ามีความเต็มใจเสียสละอวัยวะร่างกาย แม้กระทั่งชีวิตถวายเพื่อความกตัญญูต่อพระบิดาได้เสมอ ขอเพียงพระบิดามีพระชนม์ต่อไปเพียงเท่านั้น"

ด้วยพระอำนาจแห่งพุทธานุภาพและคุณงามความดีเมื่อกล่าวกับพระบิดาจบลง ดวงตาทั้งสองข้างพร้อมด้วยแขนซ้ายขวาก็กลับคืนสู่พระโพธิสัตว์กวนอิมโดยฉับพลัน  พระบิดาเมี่ยวจวงและพระมารดาเซี่ยวหลิน  ตลอดถึงข้าราชบริพารที่มาเฝ้า  ต่างก็ได้ขอปวารณาตนบำเพ็ญธรรมกับพระโพธิสัตว์กวนอิม  อยู่ฝึกฝนอบรมธรรมจนเกิดสติปัญญาออกเผยแพร่สัจธรรมสืบต่อไป

เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับความดีความกตัญญูและความมหัศจรรย์ของพระแม่กวนอิมโพธิสัตว์  สมควรที่ท่านจะมีเครื่องรางของขลังเจ้าแม่กวนอิมไว้บูชาติดตัวและติดบ้านหรือไม่ ถามใจท่านดู แต่สำหรับผมล้านเปอร์เซนต์ ผมต้องมีไว้บูชาติดตัวติดบ้านไว้ เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตครับผม

เจ้าแม่กวนอิม รักและเคารพเจ้าแม่ต้องไม่รับประทานเนื้อสัตว์อย่างน้อยปีละครั้ง

เจ้าแม่กวนอิมจัดเป็นเครื่องรางของขลังประเภทพระ ที่เราชาวพุทธศาสนิกชนควรมีไว้บูชาไม่ว่าจะแบบห้อยคอหรือแบบบูชา เพราะเจ้าแม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมมหากรุณาอันยิ่งใหญ่ไพศาลและสดับรับฟังเสียงของชาวโลก  ผู้ปรารถนาจะรื้อขนสัตว์โลกข้ามห้วงน้ำมหานทีไปสู่นิพพาน  แม้กระทั่งความปรารถนาในทางโลก เช่น ความมั่งมีศรีสุข  พระองค์ก็ทรงประทานให้ได้  ด้วยมหาบุญฤทธิ์แห่งความเป็นโพธิสัตว์ ทั้งยังให้ความคุ้มครองป้องกันภัยและความเจริญก้าวหน้าแก่ผู้สักการบูชาและปฏิบัติตนตามที่ท่านกำหนด คือ การไม่กินเนื้อวัวและกินเจปีละ  1 ครั้ง หรือปฏิบัติตลอดชีวิต ท่านยิ่งจะโปรดมาก  ซึ่งตัวกระผมทำได้คือ กินเจติดต่อกันมา 6 ปีแล้วในช่วงเทศกาลกินเจติดต่อกัน 10 วัน
ยังจำได้ว่า ในช่วงปีแรกที่กระผมเข้าเจหรือกินเจ ใหม่ๆยอมรับว่า ทำยากมากๆ แต่พอทำได้แล้วคุ้มเอามากๆ
ที่เห็นได้ชัดก็คือ สุขภาพร่างกายใน 10 วัน ที่ผมกินเจ มันยอดเยี่ยมและเฟอร์เฟคเอามากๆ  สมาธิดีมาก กลิ่นตัวก็ไม่เหม็นซากเนื้อสัตว์ที่ตายแล้ว  ตัวเบาหวิิว  ฟิตๆ  จิตใจเป็นสุขมาก  สาเหตุที่เข้ากินเจตอนแรกก็เนื่องมาจาก  ผมป่วยเป็นโรคประหลาด คือ ปวดหัว ทุกวัน จะตายเอาให้ได้  หาหมอคนไหนก็หาสาเหตุที่แท้จริงให้ผมไม่ได้  ส่วนใหญ่ก็จะบอกผมว่า ให้เข้านอนแต่หัวค่ำ  รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และไม่สูบบุหรี่  คือพูดง่ายๆก็คือให้ปฏิบัติตัวแบบควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอทั้งหมดว่า งั้นเถอะ  แต่มันไม่หายนะครับ  ช่วงนั้นผมเหมือนคนบ้าไปเลยสำหรับหมอทั้งหลายแหล่  บ้างก็หาว่าผมคิดมากบ้าง  สารพัดที่คุณหมอทั้งหลายจะเดา  อยู่มาวันหนึ่งผมมาเจอทางออกอย่างเหลือเชื่อมีเทศกาลกินเจ  ก่อนกินเจผมต้องฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าแม่กวนอิมก่อน  ผมก็อธิษฐานในใจกับเจ้าแม่ว่า ขอให้หายปวดหัว  มีไข้ลุมๆ  ซะทีผมจะไม่ไหวอยู่แล้ว  ปรากฎว่า  เหมือนปาฏิหาริย์ซึ่งที่เป็นมาประมาณเกือบ  4-5 เดือนได้หายไปหลังจากผมกินเจไปได้  5 วัน จากนั้นมาผมก็ได้เข้าเจมาตลอดโดยไม่ขาดทุกปี  แต่ก็แอบละอายใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมไม่ทำให้ได้ตลอดชีวิต  เหตุผลมันมีหลายอย่าง เรื่องสังคมบ้าง  เรื่องแฟนบ้าง กลัวแฟนเซ็ง เวลาทานข้าวด้วยกันแล้วผมทานเจ  นี้ละหน่าดังคำที่  "ยอดคนมักจะทำในสิ่งที่คนธรรมดาทำไม่ได้" มันต้องเสียสละในหลายๆอย่าง  ที่ผมรักและเคารพเจ้าแม่กวนอิมมากก็คือ ท่านคือผู้ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่า  พระคุณอันนี้ใหญ่หลวงนักกับมวลสรรพสัตว์ในโลกนี้  ผมเข้าใจดีว่า ไม่มีใครอยากตาย อย่างบาดเจ็บและทรมาน  แต่ความอยู่รอดของโลกใบนี้มันช่างโหดร้ายยิ่งนัก Wild World  ชีวิตต่อชีวิตจริงๆ แต่ผมก็ยอมรับนะว่า เป็นวิถีชีวิตที่เลี่ยงไม่ได้  บางครั้งเวลาผมขับรถไปต่างจังหวัด เห็นหมูอยู่บนรถ ก็อดสงสารไม่ได้เหมือนกัน  ผมเคยถามพระ  พระท่านก็บอกว่า การที่เรากินเนื้อสัตว์มันไม่บาป  ด้วยเหตุผลที่ว่า เรากินเพื่ออยู่รอด  เราไม่ได้ทำเกินกว่านั้น อาจจะหมายถึงการทำธุรกิจ ก็ได้นะ แต่อย่าคิดมากกันไปเลยครับ เอาเป็นว่า เรามาเชิดชูความดีและความสูงส่งของ เจ้าแม่กวนอิมกันดีกว่า ว่าเป็นอย่างไร

พญาเต่าเรือน คาถาบูชา

มีหัวใจพญาเต่าเรือนอยู่ 4 ตัว  คือ "นา สัง สิ โม" มีอุปเท่ห์มากมาย แล้วแต่จะใช้ไปในทางใด โดยขั้นต้นให้ท่องนะโม  3 จบก่อน

1.ท่องหัวพญาเต่าเรือน " นา  สัง  สิ  โม"  วันละ 9 จบ  หรือ "นะมะพะทะ นาสังสิโม  สังสิโมนา  สิโมนาสัง  โมนาสังสิ  นะอุทะกะ เมมะอะอุอะ"  หรือ "นาสังสิโม  สังสิโมนา  สิโมนาสัง  โมนาสังสิ  สุวัณณะมามา  โภชะนะมามา  วัตถุวัตถา   พะลาพะลังมามา  โภคะมามา  มะหาลาโภมา  สัพเพชะนา  ภะวันตุเม" 1 จบ

แล้วพญาเต่าเรือนจะนำโชค  เสริมบารมีให้สำเร็จในอายุ  บริวาร  เกรียรติยศและโภคทรัพย์

2.ถ้าใช้ป้องกันตัวทางคงกระพัน  ให้ภาวนากลับไปกลับมาว่า  "นาสังสิโม  สิโมนาสัง  สังสิโมนา  โมนาสังสิ"

3.ตอนเที่ยงวัน  ให้วักน้ำที่บูชาเต่าหรือใช้เต่าที่ห้อยคอมาลูบหน้าอก  แล้วกล่าวคาถา "นาสังสิโม  สังสิโมนา  สิโมนาสัง  โมนาสังสิ" จะเกิดคุณอันประเสริฐดีนักแล
l
4.สำหรับด้านคดีความ  ในตำรับพุทธสโรของหลวงพ่อเดิมท่านมีคาถาให้สวดก่อนขึ้นศาล  ในกรณีทีูู่ถูกกลั่นแกล้ง ถูกใส่ร้ายใส่ความ  ดังต่อไปนี้

"นโมพุทธายะ  นะผิด  โมเฟือน  พุทเลื่อนเปื้อน  ธาเฟือนหัวใจ  ยะวังเวงสูญเปล่า  นะเคลิ้มเคลื้อน  สังให้สะเทือนหัวใจ  สิหลงใหลมา  โมวังเวงสับสน  นะเข้าใจดล  สังบังเกิดในใจคน  มีแล้วสูญไป  ชิวหาอย่าได้มาประจักษ์แก่ตา  โมเดชเดชะ  ฤทธาเจ้าพญาเต่าเลือน  สังให้สะเทือนเฟือนสิ้นทุกคน  อิสะวาสุ  นาสังสิโม  มะอะอุ  ภะคะวานาโถ  นะโมพุทธายะ  นะปิดปาก  โมปิดใจ  พุทละลายสูญ  ฆะเตสิก  ฆะเตสิก  กิงกะระนัง  อะหังจิตตัง  พุทธะชานามิ  ธัมมะชานามิ  สังฆะชานามิ  อัตถะอะ  ฉิบหาย  สวาหะ  สวาหาย  สวาสูญ"

พญาเต่าเรือน วัตถุประสงค์ในการสร้างและการสักการบูชา

โบราณาจารย์ผู้สร้างท่านมักจะสักด้วย หมึกเขียนเป็นผ้ายันต์หรือทำเป็นเครื่องรางรูปพญาเต่าเรือน มอบให้ลูกศิษย์นำไปใช้บูชาสำหรับป้องกันภัยและเครื่องรางทางมหาเศรษฐี  ด้วยการผูกยันต์ขึ้นในรูปตัวเต่า พร้อมลงอักขระเรียกสูตรตามขั้นตอน

การสร้างเครื่องรางพญาเต่าเรือนขนาดเล็ก ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในหมู่นักเลงเครื่องราง  แต่ไม่แพร่หลายมากนัก  จนกระทั่ง หลวงพ่อสนิท วัดลำบัวลอย จังหวัดนครนายก  ท่านได้สร้างรูปเคารพของพญาเต่าเรือนขึ้นด้วยหิน มีหลายขนาด ตั้งแต่ใหญ่ขนาดสองคนแบก ไปจนถึงขนาดเล็กห้อยคอ ได้รับความเชื่อถือในวงกว้าง หรือหลวงปู่หลิว วัดไร่แตงทอง จังหวัดกาญจนบุรี  ท่านได้สร้างเหรียญพญาเต่าเรือนรุ่นแรก มีรูปของท่านประทับอยู่บนหลังพญาเต่าเรือน มีประสบการณ์เอกอุทางด้านมหาลาภและคุ้มกันภัย ช่วยปลุกกระแสความนิยมให้กับเครื่องรางชนิดนี้ให้ได้รับความนิยมสูงสุดในยุค ปัจจุบัน มีผู้นับถือและเสาะแสวงหามาสักการบูชากันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศ

พญาเต่าเรือนที่่่หายากและมีจำนวนน้อยก็ คือ  พญาเต่าเรือนเนื้อชินตะกั่ว  ของหลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่า  เล่ากันว่า เมื่อท่านเทหล่อพญาเต่าเรือนและนำมาปลุกเสก  ปรากฎว่าเต่าจากทุกสารทิศคลานเข้ามาในลานวัด อย่างมากมายพอหลวงปู่ยุติการปลุกเสกมันก็พากันคลานหายไป  น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

มีการพบรูปพญาเต่าหล่อด้วยทองคำ  หรือดุนเป็นแผ่นทองคำในพระเจดีย์สมัยอยุธยา และปรากฎว่า มีการสร้างพญาเต่าเรือนขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ด้วย  จากหลักฐานที่สอบค้นได้นั้นพบว่า  พญาเต่าเรือนขนาดใหญ่แกะจากไม้หรือหิน  วัตถุประสงค์เพื่อต่อสู้คดีความในศาลโดยมีหลักฐานระบุว่า
"มันผู้ใดถูกใส่ความและกลั่นแกล้งโดยไม่ เป็นธรรมหรือต้องถูกนำตัวขึ้นศาล  ให้ประกอบพิธีโดยอ้างเอาบารมีพญาเต่าเลือน(อีกชื่อหนึ่งของพญาเต่าเรือน )เป็นที่ตั้ง มันผู้นั้นก็จะรอดพ้นจากคดีที่ถูกใส่ความกลั่นแกล้งด้วยเมตตาธรรมแห่งพญา เต่าเลือนแล"

การประกอบพิธีในที่นี้ก็คือ  ให้ผู้ถูกใส่ความไปนั่งยองๆเหนือหลังพญาเต่าเรือน ส่วนผู้ประกอบพิธีจะเสกน้ำมนต์พญาเต่าเรือน นำมารดลงศีรษะของผู้ถูกใส่ความ   ให้ผู้ถูกใส่ความอธิษฐานขอบารมีพญาเต่าเรือนเป็นที่ตั้งเมื่อไปขึ้นศาล เดชะบารมีแห่งพญาเต่าเรือนโพธิสัตว์ก็จะทำให้ฝ่ายที่เป็นผู้ใส่ความเสียขบวน ให้ปากคำเลอะเลือนจนขาดน้ำหนัก  ทำให้ศาลยกฟ้องหรือตัดสินให้ผู้ถูกใส่ความเป็นฝ่ายชนะในที่สุด อีกทั้งยังพบอีกว่า  นอกจากการรดน้ำมนต์แล้วยังให้นำชื่อของคู่ความที่ใส่ร้ายมาเขียนลงบนกระดาษ แล้วเขียนยันต์พญาเต่าเรือนทับลงไป จากนั้นจึงเอาไปไว้ใต้รูปเคารพพญาเต่าเรือนจนกว่าจะสิ้นสุดคดีความ

วิธีสักการบูชา
เมื่อนำพญาเต่าเรือนเข้าบ้านให้จุดธูป 5 ดอก บอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในบ้านให้รับรู้ ขออนุญาตนำพญาเต่าเรือนมาอยู่ในบ้าน เพื่อมาช่วยคุ้มครองป้องกันภัยและขับไล่สิ่งไม่ดีออกไป และขอให้ช่วยนำโชคลาภมาให้ สถานที่บูชาให้จัดวางในพาน(กรณีไม่ใช่แบบเหรียญห้อยคอ)  หรือบนแท่นหินอ่อนที่มีน้ำล้อมรอบ หรือวางพญาเต่าเรือนบนภาชนะอื่นๆที่มีน้ำ โดยรินน้ำพอปริ่มๆหรือครึ่งตัวเต่า(อย่าให้จมน้ำทั้งตัว) วางไว้ที่ด้านล่างของหิ้งพระต่ำกว่า พระพุทธรูป หรือจัดวางอยู่บนตู้บนโต๊ะ หรือเคาเตอร์เก็บเงินก็ไ้ด้

ให้บูชาด้วยน้ำสะอาด ถวายผักบุ้งและผักกาดขาวตามโอกาสอันควร จะถวายพวงมาลัยดอกมะลิกุหลาบก็ยิ่งดี

ข้อห้าม  ห้ามนำพญาเต่าเรือนไปงานศพ หรือ งานอัปมงคลทั้งหลาย

พญาเต่าเรือน ภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์ผู้มีเมตตาต่อมวลมนุษย์

พญาเต่าเรือน คือเครื่องรางของขลังชนิดหนึ่งที่เป็นสุดเลิฟของผมเลยทีเดียวเพราะอะไรนะเหรอ ถ้าคุณได้ยินเรื่องราวและตำนานพญาเต่าเรือน แล้วคุณจะซึ้งจนน้ำตาไหล(พอๆกับตำนานของเจ้าแม่กวนอิมเลยทีเดียว)ว่าจะมีใครใจดีมีเมตตาและเสียสละให้กับมนุษย์อย่างเราๆท่านๆได้ขนาดนี้อีก ตำนานกล่าวไว้ในชาดกที่เรียกกันว่า พระเจ้า 500 ชาติกล่าวถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโปรดพระสาวกและพุทธบริษัท ให้ได้ประจักษ์ ถึงบารมีที่พระองค์ทรงเสด็จมา เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์  ในลักษณะของสัตว์ผู้เปี่ยมไปด้วยศีลและทานบารมีก่อนถึงทศชาติ(10 ชาติสุดท้ายที่เสด็จลงมาอุบัติบนโลก จนบรรลุเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)  พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพญาเต่า  จำศีลภาวนา แต่ยังเล็กจนกระทั่งเติบใหญ่  ด้วยอำนาจแห่งศีลอันบริสุทธิ์  ทำให้พระองค์มีร่างกายที่ใหญ่โตเท่ากับบ้านเรือนที่อาศัยอยู่ของมนุษย์ โดยทรงขึ้นไปจำศีลอยู่บนยอดเขาบนเกาะร้างกลางทะเลและมีความสงบสุขตลอดมา

วันหนึ่งมีเรือของพ่อค้าแล่นมาประสบพายุทำให้เรืออับปาง พ่อค้าและลูกเรือที่รอดตายจึงพากันว่ายน้ำมาอาศัยอยู่บนเกาะ  อดอยากหิวโหยเป็นอย่างยิ่ง  ผลหมากรากไม้ที่มีก็เก็บกินประทังชีวิต  มีคนตายคราใดก็เอาศพมาเชือดเอาเนื้อมาเป็นอาหารเพื่อให้รอดตาย  จนที่สุดก็ไม่มีอะไรจะกิน  จนเืกือบจะฆ่ากันเองเพื่อเอาเนื้อมากิน  เต่าพระโพธิสัตว์ทรงทราบด้วยญาณสมาธิโดยตลอด รู้สึกเวทนาและบังเกิดความเมตตาอย่างสุดประมาณต่อบรรดาสัตว์โลกผู้ยากไร้ที่กำลังหิวโหยอยู่ด้านล่าง จึ่งอธิษฐานจิตว่า

"ข้าพเจ้าไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยเหลือมนุษย์ผู้อดอยากหิวโหยเหล่านั้นได้ นอกจากร่างกายของข้าพเจ้า ขออุทิศชีวิตและร่างกายเพื่อช่วยให้มนุษย์เหล่านั้นรอดพ้นจากความตาย  ด้วยเดชะบารมีที่ข้าพเจ้าได้เคยทำมานี้  จงเป็นพละปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้พบกับพระนิพพานในอนาคตกาลข้างหน้าด้วยเถิด"

อธิษฐานจิตแน่วแน่แล้ว พญาเต่าโพธิสัตว์จึงคลานมาที่หน้าผาเลือกเอาโขดหินผาที่แหลมคมด้านล่างเป็นที่เจริญเมตตาจิตเป็นที่ตั้ง พุ่งตัวลงจากหน้าผา  กระดองกระแทกกับหินผาได้รับความเจ็บปวดทรมาน จนกระดองแตกถึงแก่ความตายอยู่บนพื้นดินด้านล่าง  พ่อค้าและลูกเรือจึงได้อาศัยเนื้อของพญาเต่ากินเป็นอาหาร  ตราบจนกระทั่งมีเรือลำือื่นผ่านมารับและรอดตายได้ทั้งหมด  เมื่อมนุษย์เหล่านั้นกลับถึงบ้านตน ก็ระลึกถึงบุญคุณของเต่าโพธิสัตว์ จึงทำรูปเคารพของพญาเต่าไว้บูชา ณ บ้านเรือนถิ่นถานของตน เพื่อระลึกถึงและสั่งสอนสืบทอดกันต่อมาว่า  "พญาเต่าเรือน คือเอกลักษณ์แห่งเมตตาบารมีที่จะคุ้มครองผู้ประพฤติธรรมให้พ้นจากการเบียดเบียนของเหล่าอธรรมในทุกกาล"

เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ลึกซึ้งกินใจกันดีไหม  ผมรู้สึกยกย่องและนับถือในน้ำใจของพญาเต่าเรือนเป็นอย่างมาก จึงอยากเล่าความเป็นมาให้ท่านผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพญาเต่าเรือนมาก่อนได้ทราบกัน 

อิทธิคุณหรือพุทธคุณของเครื่องรางพญาเต่าเรือน (ถือว่าครอบจักรวาลเลยทีเดียว)

1.ด้านทำมาค้าขายให้โชคให้ลาภ   ติดตัวหรือบูชาไว้ในบ้าน ร้านค้า หรืออาคารสำนักงานเพื่อเรียกโชคลาภหรือลูกค้าเข้าร้าน (ทำมา้ค้าขายดี), ธุรกิจ และรายได้เจริญก้าวหน้า มีแต่เจริญขึ้นไปไม่มีเสื่อมถอย(ตามลักษณะของเต่าที่มีแต่เดินหน้า ถอยหลังไม่เป็น)  ร่ำรวยและรุ่งเรืองแบบมั่นคงยาวนาน (เต่าอายุยืน)

2.ด้านชนะคดีความ  ติดตัวไว้เพื่อต่อสู้คดีความทีูู่ถูกใส่ร้าย  หรือถูกกลั่นแกล้ง

3.ด้านปกป้องคุ้มครอง  ติดตัวไว้เพื่อคุ้มครองป้องกันภัยนานาประการ (เชื่อกันว่าเหมือนมีกระดองเต่ามาคลุมตัว)

4.ด้านเมตตามหานิยม  ติดตัวหรือบูชาให้เกิดเมตตามหานิยม (โดยธรรมชาติแล้วเต่าเป็นสัตว์ที่น่ารัก ใครพบเห็นก็บังเกิดความรักใคร่เอ็นดู)

โปรดติดตามรายละเอียดของพญาเต่าเรือนได้ในวันต่อไป  หวาดดีครับ

ชูชก ขอลาภ ขอรวย มีเมียสวย รวยแบบไม่คาดฝัน

ชูชก  คือ สุดยอดเครื่องรางแห่งการขอ  ในรูปของขอทานเฒ่า  ชูชกเป็นขอทานจนมีเงินมีทองมากมาย  มีภรรยาสาวสวย(สำคัญๆ อิอิ) ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้แต่กับผู้ชายนะครับ ผู้หญิงเองบูชาดีๆก็จะได้ครอบครองสิ่งสวยงามๆแม้แต่ผู้ชายหล่อๆได้เช่นกัน เครื่องรางชูชกถูกสร้างขึ้นมาตามเคล็ดลับของการขอ ขอไ้ด้ทุกอย่างทั้งทรัพย์สิน เงินทอง และขอสาวสวยและชายหล่อได้ทั้งนั้น เรียกได้ว่าขอจนรวยว่างั้นเถอะ จะเห็นได้จาก ชูชก เองเป็นชายแก่และขี้เหร่ แต่ได้ภรรยาสาวสวย อายุรุ่นคราวลูก  อย่างนางอมิตาดา แถมยังจงรักภักดี และขยันปรนนิบัติชูชก เป็นอย่างดี 

เครื่องรางชูชก เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่า ยอดเยี่ยมทางด้านโชคลาภ  เมตตามหานิยม  ซึ่งครูบาอาจาีรย์ผู้ทรงวิทยาคมในสำนักต่างๆสร้างออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์นำไปติดตัว เพื่อใช้ทำมาหากิน

ชูชกที่ได้รับความนิยมสูงในประเทศไทย  ยกตัวอย่างเช่น ชูชกที่สร้างขึ้น(ปลุกเสก)โดย  หลวงปู่ทิม  วัดละหารไร่  จ.ระยอง  มี ชูชกไม้แกะ และผ้ายันต์ชูชก เข้มขลังด้วยพลังแห่งเมตตามหานิยมและมหาลาภ

ชูชกวัดใหม่ปิ่นเกลียว  จ.นครปฐม  ของหลวงพ่อสมพงษ์  ซึ่งวิชาปลุกเสกชูชกที่ได้ร่ำเรียนมาจากพระอาจารย์ 3 ท่าน คือ หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ  หลวงพ่อไสว วัดปรีดาราม  และหลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า

ชูชกของหลวงพ่อคีย์  วัดศรีลำยอง  จ.สุรินทร์  มีชูชกขนาดบูชา สูง 8 นิ้ว  และขนาดห้อยคอเนื้อสัมฤทธิ์  และเนื้อเขาควายแกะ(ซึ่งตัวผู้เขียนเองก็มีไว้ในครอบครองเหมือนกันได้มาจากรุ่นน้องคนหนึ่งที่อยุ่จังหวัดสุรินทร์) ชื่อรุ่นรวยมหาเศรษฐี 2548 ปลุกเสก 1 ไตรมาสและอีกหลายๆพระอาจารย์ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงในที่นี้

ในเชิงไสยศาสตร์ยกย่องว่า ชูชกมีเสน่ห์  มีลาภมากมาย ทั้งเงินทอง ข้าวปลาอาหาร บ้านเรือนและบริวาร จะขออะไรใครเขาก็ให้มาเสมอ เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการทำทานบารมี กระตุ้นให้เกิดความเสียสละและการเป็นผู้ให้

ประสบการณ์ปาฏิหารย์ ของผู้บูชาชูชก เท่าที่ได้ทราบมา

ผู้มีชูชกรุ่น 1 ของวัดใหม่ปิ่นเกลียวติดตัวไว้  จะประสบกับความสำเร็จนานาทุกประการโดยเฉพาะด้านการประกอบอาชีพ อธิษฐานขอลาภผล ขอโชคดีมีกำไร ซื้อง่ายขายคล่อง การเจรจาต่อรองโน้มนาวใจก็เป็นผลสำเร็จอย่างง่ายดาย  ขอลาภยศ  ขอตำแหน่ง  ขอความรักความเมตตา ยากที่จะผิดหวัง  มีบางรายที่แคล้วคลาดปลอดภัย เพราะอานุภาพชูชกคุ้มครองให้รอดพ้นภยันตรายมาได้อย่างเหลือเชื่อ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้แสวงหาชูชกรุ่น 1 ของวัดใหม่ปิ่นเกลียวมากเป็นพิเศษ

ประสบการณ์ที่น่าประทับใจ(ได้ยินมาอีกนั้นแหละ อยากให้เกิดขึ้นกับตัีวเองจัง)

นายนคร แสงเดือน อายุ 55 ปี ชาวจังหวัดชุมพร มีอาชีพเป็นวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง อยู่แถวฝั่งธนบุรี  ได้ภรรยา คือนางสาวยุวดี  ลีลาธนา อายุ 28 ปี อาชีพนางพยาบาล ชาวจังหวัดมหาสารคาม

ก่อนเกิดเหตุ555ที่จะได้แต่งงานกันนั้น  นายนครไปได้ผ้ายันต์ชูชกของวัดใหม่ปิ่นเกลียวมาผืนหนึ่ง เอามาบูชาโดยผูกไว้หน้ารถมอเตอร์ไซด์ที่ตนเองขับขี่อยู่  หลังจากนั้นนางสาวยุวดีก็มาซ้อนท้ายรถไปทำงาน โดยว่าจ้างอยู่เสมอๆ จนกลายเป็นลูกค้าขาประจำ นายนครบอกว่า "วันไหนที่ผมยังไม่ออกมารับคนหรือไปส่งคนอยู่  คุณยุวดีก็จะรอ และคอยซ้อนท้ายผม  บ่อยครั้งเข้า ผมก็ไม่เก็บค่าโดยสาร และเราก็รักกัน" เขาพูดและยิ้มๆอย่างภาภภูมิใจในชัยชนะที่ได้เป็นเจ้าบ่าวของเจ้าสาวคนสวย คงเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์
ของชูชกนั้นแหละที่ทำให้คุณนคร โชคดีได้เมียเด็กกว่าตัวเองอะไรอย่างนั้น  แต่ในใจบางทีผมก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันแบบแว๊ปๆนะว่า เป็นเพราะคุณนคร ไม่เก็บค่าโดยสารมอเตอร์ไซด์ คุณยุวดี หรือป่าวหน่า555 

คาถาบูชาชูชก

"อิติ สุคะโต  ชะนาสุโภ  ชูชะโก  สุคะโต  อิติ" (ของหลวงพ่อสมพงษ์  วัดใหม่ปิ่นเกลียว  จังหวัดนครปฐม)

"มอ ลอ ข้อ ไข ไข ข้อ มอ ลอ" (ของหลวงพ่อไสววัดปรีดาราม  จังหวัดนครปฐม)

"โส ชูชะโก ทะทาสิ" (ของหลวงพ่่อสาคร วัดหนองกรับ จังหวัดระยอง)

"โอม นะโมชูหะรัง พุทธะสังกะ ขะฆะ" ท่อง 7 จบ (ของฤาษีอำนาจ ทองเจริญ  อาศรมภูเขียว  จังหวัดขอนแ่ก่น)

"ชูชะโก  โพธิสัตโต  เอหิมะนะ  นะมามีนา  มะหาลาภา  อิติพุทธัสสะ  สุวัณณังวา  ระชะตังวา  มะณี ธะนังวา พีชังวา ปัตถังวา  เอหิ  เอหิ อาคัจเฉยยะ  นะมาชิหัง"ภาวนาทุกเช้าค่ำ (ของปู่ฤาษีตาไฟ อัคคธัมโม อาศรมบ้านโคกบัว อำเภอครบุรี  จังหวัดนครราชสีมา)

จะเลือกภาวนาคาถาบทไหน  ของพระอาจารย์องค์ใด  ก็ให้เลือกใช้ได้ตามใจชอบ

อิทธิคุณแห่งเครื่องรางของขลัง

1.มีคุณวิเศษเกิดแก่ผู้บูชา  ตามลักษณะ  ประเภทและอิทธิฤทธิ์ของเครื่องรางของขลังนั้นๆ

2.ทำให้เป็นคนมีความเชื่อมั่นกล้าหาญ และ สุขุมเยือกเย็น

3.เป็นที่ยึดเหนี่ยวสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ

4.เกิดความภาคภูมิใจและเพลิดเพลินในการมีเครื่องรางของขลังซึ่งถือเป็นสมบัติล้ำค่าของแต่ละคน  มีคุณค่าด้านจิตใจซึ่งมิอาจประเมินค่าได้

5.เป็นวัตถุล้ำค่าหาได้ยาก จึงมีการสะสมและอนุรักษ์บูชาไว้เป็นมรดกแก่ลูกหลานสืบต่อไป  เป็นการใช้เวลาว่างใ้ห้เป็นประโยชน์

6.ทำให้เป็นผู้มีศีลธรรม เพราะตามธรรมดาอิทธิคุณแห่งเครื่องรางของขลังจะให้คุณเฉพาะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเท่านั้น

7.ช่วยให้เกิดศรัทธามั่นคงในพุทธศาสนา และช่วยธำรงรักษาไว้ซึ่งพุทธศาสนาสืบไป

เครื่องรางของขลังมีมาแต่โบราณ

มีการจัดสร้างเครื่องรางของขลังขึ้นทุกยุคทุกสมัยจนกระทั่งถึงปัจจุบัน มีทุกชาติทุกภาษา เช่น ยุโรป  อเมริกาใต้  อัฟริกัน  อิยิปต์ เปอร์เซีย อาหรับ อินเดีย ทิเบต จีน มลายู ไทย พม่า ชวา มอญ ลาว เขมร ญี่ปุ่น เป็นต้น

แม้ในหลักพุทธศาสนาก็ยอมรับว่ามีจริง  จะสังเกตุดูจากสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  และพุทธสถานเก่าแก่ที่มีอายุนับร้อยนับพันปี  เช่น กรุพระเครื่อง  จะมีการสลักแผ่นศิลาจารึกบอกประวัติการสร้าง  มวลสารและคณาจารย์ผู้สร้าง  เป็นต้น

โดยมีพระคณาจารย์ผู้มีสมาธิแก่กล้าเป็นผู้ปลุกเสกหรืออธิษฐานจิตเพื่อบรรจุคุณวิชาเข้าไป เป็นผลทำให้เครืองรางของขลังมีอิทธิฤทธิ์ขึ้นตามความประสงค์ของผู้อธิษฐานจิตนั้นๆ  ว่าจะให้มีอิทธิคุณหรือคุณวิเศษหนักไปทางใด  เช่น แคล้วคลาด  เมตตา  โชคลาภ

กล่าวในแง่วิทยาศาสตร์  เปรียบเสมือนการประจุและเก็บพลังงานจากแหล่งพลังงานหนึ่งไปยังสสาร (วัตถุ) อีกสิ่งหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ  การบรรจุกระแสไฟฟ้าลงในแบตเตอรี่

การบรรจุเวทมนตร์ลงในวัตถุมงคล  หรือเครื่องรางยังประกอบไปด้วยการบวงสรวงครูบาอาจารย์เจ้าของวิชา รวมทั้งเทพยดาอารักษ์  สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั้งปวง  เป็นการเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เป็นไปตามประสงค์

เครื่องรางของขลังไม่ใช่สิ่งงมงาย

มีบางคนดูหมิ่นดูแคลนว่าเครื่องรางของขลังเป็นสิ่งงมงายเป็นเรื่องเหลวไหล บุคคลผู้มืดบอดประเภทนี้ส่วน
ใหญ่มักจะมองข้ามภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในดินแดนสุวรรณภูมิ ที่มีอารยธรรมอันรุ่งเรืองสืบเนื่องกันมาไม่ขาดสาย โดยมีต้นรากมาจากอินเดียดินแดนแห่งศาสนาและปรัชญา  พวกเขาไม่ค้นคว้าให้ลึกซึ้งว่าทางฟากตะวันตกก็มีเครื่องรางของขลังเช่นกัน เช่น อิสจัส ของไอยคุปต์และไอซ์แลนดิก  เครื่องรางมหานิยมสายพันธ์ยุโรป จริงๆแล้วทางตะวันตกมีการศึกษาเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ไม่เปิดเผยในวงกว้าง

บุคคลเหล่านี้มักขาดความลุ่มลึกในการศึกษาค้นคว้ารากเหง้าบางด้านของตนเอง  ซึ่งที่จริงความศักดิ์สิทธิ์ในโลกนี้มีอยู่จริงแต่เป็นเรื่องปัจจัตตัง  คือรู้เห็นได้เฉพาะตน  เฉพาะคนที่มีใจศรัทธาเป็นที่ตั้่งเท่านั้น   แต่ก็มีเครื่องรางหลายชนิดที่มีการแสดงประสบการณ์เป็นประจักษ์ให้เห็นพร้อมกันหลายๆคน  ถ้าหากไม่เกิดผลดีจริงแล้ว  คงเสื่อมสลายไป ไม่มีการสร้างสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันอย่างแน่นอน

Siam Amulet Help Be Rich เครื่องรางของขลัีงเมืองไทยทำให้รวยได้

ความเป็นมาของเครื่องรางของขลัง ( History of Siam Amulet)

เครื่องราง(Amulet)  คนสมัยก่อนนิยมใช้คำว่า เครื่องลาง  =  ของที่นำมาใช้ทางโชคลาภต่างๆ
ต่อมาราชบัณฑิตสถานได้บัญญัติให้ใช้ เครื่องราง  แปลว่า  ของที่นับถือว่าป้องกันอันตราย  ยิงไม่ออก  ฟันแทงไม่เข้า  เช่น ตะกรุด  ผ้ายันต์  เหล็กไหล เป็นต้น  เนื่องจากในสมัยโบราณมีการรบทัพจับศึกกันมาก

สมัยต่อมาเมื่อบ้านเมืองเจริญรุ่งเรือง  สงบร่มเย็น มีการติดต่อค้าขายกันมากขึ้น  จึงมีการสร้างเครื่องรางของขลังในด้านเมตตามหานิยม  โชคลาภหรือโภคทรัพย์ขึ้นมา  เพื่อสร้างความนิยมชมชอบ  เรียกเงินเรียกทอง  อยู่ดีกินดี  มั่งมีศรีสุข  ให้กับผู้บูชา

เครื่องรางของขลัง คือ วิทยาศาสตร์ทางจิต  ซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังเข้าไม่ถึง  จัดเป็นวิทยาการเร้นลับ (secret knowledge) และก้าวไกลไปกว่าวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันโดยเฉพาะเรื่องเหนือธรรมชาติ
อย่างเช่น พีระมิดของอิยิปต์และปราสาทนครวัดแห่งกัมพูชา ซึ่งถูกสร้างเมื่อหลายพันปีก่อน ช่วงเวลานั้นโลกเรายังไม่เจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเหมือนสมัยปัจจุบัน  แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านั้นก็สำเร็จลงได้ นับเป็นความมหัศจรรย์ที่โลกต้องตะลึง(Amazing World) นักวิทยาศาสตร์ยังพิศวงกับสถาปัตยกรรมเหล่านั้นและไม่สามารถหาคำอธิบายได้ชัดแจ้งซะที

Designed by Posicionamiento Web | Bloggerized by GosuBlogger | Blue Business Blogger